เครื่องฟอกอากาศกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่บ้าน คอนโด หอพัก ไปจนถึงสถานที่สาธาณะ อย่างสำนักงาน โรงเรียนและห้างสรรพสินค้า ต่างก็มีเครื่องฟอกอากาศติดตั้งไว้
นี่ก็เพราะสภาวะมลพิษทางอากาศที่เรากำลังเผชิญกันอย่างหนักทั้งในเมืองใหญ่ตลอดจนถึงชุมชนเล็กๆอย่างควัน PM2.5 นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก ส่งผลเสียต่อสุขภาพและอันตรายถึงตายได้
ดังนั้นการที่เรามีเครื่องฟอกอากาศดีๆสักเครื่องติดบ้านไว้ก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญ ที่จะปกป้องสุขภาพร่างกายของเราให้ปลอดภัยจากการโรคที่มากับมลภาวะทางอากาศที่เกิดภายนอกบ้านและในบ้าน
คงสงสัยกันแล้วละสิว่าไอ้ที่ว่า “เครื่องฟอกอากาศดีๆ” เนี่ยมีอะไรบ้าง? ข้างล่างนี้บ้านติฟูลได้นำ 10 อันดับ เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี ที่คนใช้เยอะ รีวิวดี ดักควัน PM2.5 ได้จริงแถมยังดักเชื้อโรคได้ด้วย
ตัวไหนยอดฮิต: Xiaomi Air Purifier 3C ซื้อได้ที่ Lazada , Shopee | |
ตัวไหนพกพาได้: SHARP รุ่น FP-J30TA ซื้อได้ที่ Lazada , Shopee | |
ตัวไหนครอบคลุมวงกว้าง: Tefal รุ่น PT3030FO ซื้อได้ที่ Lazada , Shopee | |
ตัวไหนคุ้ม ราคาถูก: MITSUTA รุ่น MAP450 ซื้อได้ที่ Lazada , Shopee |
รีวิว 8 อันดับเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี? ตัวไหนน่าซื้อ?
1. Xiaomi Air Purifier 3C
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 22-38 ตรม.
- มีแผ่นกรอ HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 61 เดซิเบล (โหมดนอนหลับอยู่ที่ 31 เดซิเบล)
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 320 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 24x24x52 ซม.
- น้ำหนัก: 4.6 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 4,000 ชม.
- การรับประกัน: 1 ปี
Xiaomi แบรนด์สุดป๊อปบ้านไหนก็มี รุ่นที่เลือกมาชื่อว่า Xiaomi Air Purifier 3C มีความมินิมอล ตัวเครื่องขนาดเล็ก จัดตั้้งสะดวกเนียนๆไม่รกตา สามารถสั่งงานผ่านเสียงได้ แต่อย่าลืมว่าแบรนด์เสียวหมี่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดอัจฉริยะซึ่งมีการสั่งงานผ่านแอปพลิเคชั่น Mi Home และเจ้าตัวนี้ก็ด้วยเช่นกัน หากใครไม่ชอบคิดดีๆก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะคะ
นอกจากนั้นหน้าจอ LED ของเสียวหมี่ 3C ยังสามารถอ่านข้อมูลการแสดงผลที่สำคัญหลายๆอย่างอาทิ แสดงผลการปรับการตั้งค่าสีที่เปลี่่ยนตามคุณภาพอากาศที่เห็นได้ชัดเจนแม้ว่าเราจะอยู่ไกล รวมไปถึงค่าPM2.5 แบบเรียลไทม์ซึ่งในหลายๆยี่ห้อในท้องตลาดไม่มีให้
3C ยังปรับระดับความสว่างของหน้าจอได้ทำให้ไม่รบกวนสายตาและยังเป็นรุ่นที่ทำงานเสียงเบาที่สุดในบรรดารุ่นทั้งหมดของ Xiaomi ด้วย ดังนั้นหากตั้งไว้ในห้องนอนจึงมั่นใจว่าเจ้าตัวนี้จะไม่ไปรวบกวนการนอนหลับของเพื่อนๆแน่นอน
เครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้มีแผ่นกรองทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ แผ่นกรองหลักทำหน้าที่ดักจับอนุภาคใหญ่ๆอย่าง ขนสัตว์ แผ่นกรอง True Hepa ซึ่งเป็นตัวที่พิเศษและเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเช็คอันดับแรกเมื่อจะซื้อเครื่องฟอกอากาศ
เพราะมันจะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมอนุภาคใหญ่ถึงเล็ก(เสียวหมี่เคมว่ากำจัดได้ 99.97%)อย่างพวกสารก่อภูมิแพ้ที่เล็ดลอดเข้ามาอยู่ภายในบริเวณบ้านของเรา และท้ายสุดแผ่นกรองผงถ่านกัมมันต์มีคุณสมบัติช่วยดูดกลิ่น เช่นกลิ่นควันบุหรี่ หรือควันจากการทำอาหาร
ตัวไส้กรอง(3 ชั้น)เปลี่ยนได้โดยการถอดออกจากด้านบนซึ่งแตกต่างจากรุ่นอื่นๆที่ต้องถอดออดด้านหลัง โดยความเห็นส่วนตัวแล้วชอบแบบถอดด้านบนเพราะคิดว่าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนและใส่สะดวกกว่าเดิมเยอะค่ะ
เหมาะกับ: การใช้งานสำหรับห้องต่างๆในบ้านอย่างเช่นห้องนอนหรือคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ไม่เกิน 38 ตารางเมตร บ้านไหนที่กำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ฟังก์ชั่นอัจฉริยะครบครัน ราคาไม่แพง(เครื่องฟอกอากาศราคาไม่เกิน 3,000 บาท) ประสิทธิภาพสูงกินไฟน้อยต้องไม่พลาด Xiaomi Air Purifier 3C ตัวนี้เลย
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– คุณภาพดีราคาประหยัดสุดในรุ่นทั้งหมดของ Xiaomi | – จำเป็นต้องต่อ Wifi เข้าแอปเพื่อใช้ฟังก์ชั่นเสริมอย่างเช่นการตั้งเวลาเอง |
– ใช้งานผ่านแอปและสั่งงานผ่านเสียงได้ | – ไม่รองรับ Wifi 5GHz |
– ไส้กรองที่มีมาให้ถอดทำความสะอาดและนำมาใช้ซ้ำได้ | – การใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่นอาจยุ่งยากสำหรับบางผู้ใช้ |
– มีระบบการไหลเวียนของท่ออากาศแบบ 360°(ไส้กรองทรงกระบอก) | |
– มีการเเจ้งเตือนเมื่อต้องเปลี่ยนไส้กรอง |
2.Philips Air Purifier รุ่น AC0820/20
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 16-49 ตรม.
- มีแผ่นกรอ HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 48 เดซิเบล (โหมดนอนหลับอยู่ที่ 19 เดซิเบล)
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 190 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 25x25x36.7 ซม.
- น้ำหนัก: 2.4 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 12 เดือนหรือ 8,760 ชม.
- การรับประกัน: 2 ปี
เครื่องฟอกอากาศจาก Philips รุ่น AC0820/20 มีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้สะดวกแถมยังตั้งบนโต๊ะได้สบายๆเป็น Air Purifier ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายมากๆ เด็กใช้ได้ ผู้สูงอายุก็ชอบ นี่ก็เพราะมีปุ่มแบบสัมผัสเพียงปุ่มเดียวในการเลือกโหมด
มีโหมดอัตโนมัติซึ่งเป็นระบบที่แนะนำสำหรับการใช้งานทั่วไป โหมดเร่งด่วนเพื่อให้สภาพอากาศปรับสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุดในขณะนั้น และโหมดสลีปแนะนำสำหรับกรณีตั้งไว้ในห้องนอน โดยโหมดนี้จะทำให้แสงไฟและเสียงจากตัวเครื่องหรี่เบาลงมาไม่ให้รบกวนผู้ใช้งาน
มันจะอ่านค่าสภาวะอากาศด้วยการแสดงผลผ่านสีรอบปุ่มกดนั้น มีสีฟ้า ม่วง ชมพูและสีแดง โดยจะแสดงค่าสภาวะอากาศโดยรอบดีไปจนถึงแย่ตามลำดับแต่ไม่บอกค่าตัวเลข PM2.5 Philips AC0820/20 นี้มีแผ่นกรองอากาษทั้งหมด 2 ชั้น ได้แก่
แผ่นกรองธรรมดาดักจับอนุภาคใหญ่ๆที่ล่องลอยตามอากาศ แผ่นกรอง Hepa แบบ Nanoprotect ซึ่งได้รับการทดสอบกับละอองเชื้อจำพวกไข้หวัดนกและได้รับรองจากสถาบัน European Centre for Allergy Research Foundation ของยุโรปมาแล้ว
และฟิลิปยังเคลมว่าแผ่นกรองตัวนี้สามารถฟอกอากาศได้เร็วกว่า Hepa H13 ที่ถูกใช้ในการแพทย์อีกด้วย
เหมาะกับ: ผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือใครก็ใช้ได้ค่ะ แต่เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดเล็กจึงเหมาะกับการวางในห้องต่างๆที่มีขนาดไม่เกิน 49 ตารางเมตร ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากลทำให้ค่อนข้างมีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่นๆนิดหน่อย
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก เพียงแค่สั่งงานเพียง 1 ปุ่ม | – ไม่บอกค่าตัวเลข |
– มีไฟแสดงค่าอากาศว่าตอนนั้นอากาศเป็นอย่างไร | – ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดเดียวกันในยี่ห้ออื่นๆ (แต่ถ้าซื้อตอนมีส่วนลดมันคุ้มค่ามากๆเลยแหละ) |
– สายไฟถอดแยกออกจากตัวเครื่องได้ | |
– ไส้กรอง NanoProtect HEPA ได้รับการรองรับจาก European Centre for Allergy Research Foundation ถอดทำความสะอาดและนำมาใช้ซ้ำได้ | |
– ไส้กรองมีอายุการใช้งานตลอดปี (เทียบกับการเปิดทุกวันทุกชั่วโมง) | |
– ไส้กรองสามารถถอดออกมาทำความสะอาดและใช้ซ้ำได้ | |
– มีการเเจ้งเตือนเมื่อต้องเปลี่ยนไส้กรอง | |
– มีระบบหมุนวนเวียนอากาศแบบ 3 มิติ |
3.PHILIPS Air Purifier รุ่น AC1215/20
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 21-63 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤60 เดซิเบล (โหมดนอนหลับอยู่ที่ 32 เดซิเบล)
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 270 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 32.5x21x54.3 ซม.
- น้ำหนัก: 5.2 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 24 เดือน 17,520 ชม.
- การรับประกัน: 2 ปี
เครื่องฟอกอากาศจาก Philips อีก 1 รุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในไทยและต่างประเทศที่ช่วยกรองอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพขจัดมลภาวะ PM2.5 ได้ถึง 99.7% ตอบโจทย์คนที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศไว้ใช้ปกป้องควัน PM2.5
ฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายๆกับ Philips Air Purifier รุ่น AC0820/20 แต่รุ่นนี้จะมีขนาดใหญ่กว่า โมเดลนี้จึงเหมาะกับห้องที่มีขนาดกลางไปเป็นต้นไป
Philips AC1215/20 มีรูปร่างค่อนข้างแปลกตา (ไส้กรองเป็นทรงสี่เหลี่ยม) และมีแผ่นกรองเพิ่มมาอีก 1 ชั้น(รวมทั้งหมด 3 ชั้น อ่านความพิเศษของแผ่นกรองเพิ่มในรีวิวแนะนำอันดับที่ 2)คือชั้นแผ่นกรองผงถ่านกัมมันต์มีคุณสมบัติในการชกรองสารเคมีอันตรายและช่วยดูดกลิ่นได้
มีแผงควบคุมสีดำให้ความรู้สึกพรีเมียมสุดๆ หน้าจอแสดงค่าสภาพอากาศให้สีเหมือนเดิม ได้แก่ สีฟ้า ม่วง ชมพู และแดง โดยไล่ระดับจากอากาศดีสุดมาจนถึงอากาศแย่
ปุ่มกดระบบสัมผัส ประกอบไปด้วย ปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มโหมดนอน ปุ่มเลือกโหมดการทำงาน โดยเลือกระดับความเร็วของใบพัดได้ (ในส่วนนี้สามารถกดตั้งค่าสำหรับป้องกันสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะ)
และท้ายสุดคือปุ่มล๊อคป้องกันเด็กเล็กมาเล่นกับแผงควบคุมจึงหมดสำหรับบ้านไหนที่มีเด็กเล็กชอบทดลอง
เหมาะกับ: ทุกครัวเรือนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ต้องการเครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดใหญ่ราคาไม่เกิน 10,000 บาทซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับการครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น สูงสุดถึง 63ตารางเมตร และไม่ต้องใช้แอปในการใช้งาน
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่กว้างขึ้น | – ไม่บอกค่าเป็นตัวเลข |
– มีการเเจ้งเตือนเมื่อต้องเปลี่ยนไส้กรอง | – สร้างอากาศบริสุทธิ์ (PM CADR) ได้สูงสุด 270 ลบ.ม./ชม. (เครื่องใหญ่แต่อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์น้อยกว่าอันดับ 1 ที่มีขนาดเล็กกว่าซะงั้น) |
– มีไฟแสดงค่าอากาศว่าตอนนั้นอากาศ | |
– ไส้กรอง HEPA มีแผ่นกรองผงถ่านกัมมันต์ ได้รับการรับรองจาก European Centre for Allergy Research Foundation |
4. Xiaomi Air Purifier 3H
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 26-45 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 64เดซิเบล
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 380 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 24x24x52 ซม.
- น้ำหนัก: 4.8 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 4,000 ชม.
- การรับประกัน: 1 ปี
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากใครชอบ Xiaomi Air Purifier 3C (ที่แนะนำไปในอันดับ 1)แต่อยากได้รุ่นที่เพิ่มสเปคขึ้นมาอีกนิดหน่อย ทำงานได้เหมือนกันเพื่อใช้งานในบ้านที่กว้างขึ้น เราแนะนำรุ่น Xiaomi Air Purifier 3H เลยค่ะ
ด้วยหน้าจอแบบ OLED (Organic Light Emitting Diodes) ระบบสัมผัสสามารถสั่งงานได้โดยตรงไม่ต้องเข้าแอปให้ยุ่งยากหรือจะใช้งานแผ่นแอป Mi Home ก็ได้หากต้องการสั่งงานในระยะไกล มีตัวเลือกเพิ่มซึ่งเลิฟสุดๆไปเลยค่ะ
สิ่งที่แตกต่างจากตัว 3C อีกอย่างคืออัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ที่สูงกว่า จุดนี้เองที่ทำให้เขาสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าและฟอกอากาศได้เร็วกว่า 3C
ท้ายสุดทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นขนาดที่เหมาะกับการใช้ในบ้าน ตามห้องต่างๆเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับระบบการสั่งงานและค่า CADR แล้วแต่ว่าชอบแบบไหนมากกว่า
เหมาะกับ: การใช้งานในบ้านที่มีพื้นที่ 26-45 ตร.ม. บ้านไหนที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศอัจริยะ ยี่ห้อไหนดี ขนาดเล็กไม่เปลืองพื้นที่ ไม่ต้องเข้าแอปเพื่อปรับโหมด ทำงานเสียงเบา กินไฟน้อยถึงแม้จะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– หน้าจอแสดงผลเป็น OLED ระบบสัมผัสตั้งค่าปรับโหมดผ่านหน้าจอได้เลย | – ไม่รองรับ Wifi 5GHz |
– ใช้งานผ่านแอปและสั่งงานผ่านเสียงได้ | |
– สามารถใช้แผ่นกรองร่วมกับเครื่องฟอกอากาศ Mi ได้หลายรุ่น ได้แก่ Xiaomi Anti-bacterial Filter และ Xiaomi Anti-formaldehyde Filter | |
– ระบบท่ออากาศอันทรงพลังห้อากาศบริสุทธิ์ถึง 6,ม330 ลิตรต่อนาที | |
– มีระบบการไหลเวียนของท่ออากาศแบบ 360°(ไส้กรองทรงกระบอก) |
5.SHARP รุ่น FP-J30TA
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 16-23 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 44เดซิเบล (โหมดนอนหลับอยู่ที่ 23 เดซิเบล)
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: ไม่ระบุ
- ขนาด: 41.1×43.1×21.1 ซม.
- น้ำหนัก: 4 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 24 เดือนหรือ 17,520 ชม.
- การรับประกัน: 1 ปี
เครื่องฟอกอากาศชาร์ป รุ่น FP-J30TA เป็นอีกหนึ่งตัวที่อยากแนะนำให้กับผู้ที่เป็นภูมิแพ้โดยเฉพาะ เพราะเขาได้รางวัลการันตีประสิทธิภาพในการลดสารก่อภูมิแพ้อย่างไรฝุ่นและละอองเกสรดอกไม้จากประเทศอังกฤษเลยทีเดียวค่ะ
ชาร์ปยังเคลมว่ารุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีพลาสม่าคลัสเตอร์ที่จะช่วยขจัดสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส เชื้อรา และยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงอเนกประสงค์ได้ด้วย แต่ถ้าหากถามว่าเขาทำงานได้ดีสุดไหม เราคิดว่าคงไม่ได้ดีเท่ากับรุ่นก่อนหน้าที่ได้แนะนำไป
เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดเล็ก จึงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสุดกับพื้นที่ขนาดเล็กเพียงเท่านั้น ข้อดีของมันคือพกพาสะดวกถึงแม้จะต้องเดินทางไปพักผ่อนตามต่างจังหวัดและมีโหมดให้เลือกใช้ ที่สำคัญคือมีรีวิวที่เป็นที่ยอมรับในหลายๆผู้ซื้อทำให้มั่นใจระดับหนึ่ง
เหมาะกับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีที่มีขนาดเล็ก สำหรับใช้ในพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร อีกทั้งยังพกพาสะดวก ตอบโจทย์ดีสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– มีระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ ที่ช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไข้หวัดนก H5N1 ในอากาศ และสลายกลิ่นอับชื้นตลอดจนสลายฤทธิ์สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น | – ไม่บอกค่าตัวเลข |
– สามารถเปิดปิดแสดงสว่างของไฟได้ | – ขนาดเล็กจึงไม่สามารถฟอกอากาศได้ดีเท่ากับรุ่นอื่นๆ |
– สพกพาได้สะดวก |
6. MITSUTA รุ่น MAP450
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 30-40 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 55 เดซิเบล
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 218 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 19x34x55.5 ซม.
- น้ำหนัก: 5 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 12 เดือนหรือ 8,760 ชม.
- การรับประกัน: 1 ปี
เครื่องฟอกอากาศขนาดกลางจาก Misuta สีขาวสไตล์เรียบง่าย และยังใช้งานง่ายด้วยเช่นกัน ตัวเครื่องนี้จุดเด่นของเขาจะอยู่ที่การฟอกอากาศ 6 ขั้นตอนผ่านฟิลเตอร์ถึง 4 ชั้น
โดย 6 ขั้นตอนนั้นได้แก่ แผ่นกรองแรกกรองฝุ่นและขนสัตว์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ, แผ่นกรอง True Hepa กรองฝุ่น PM2.5,แผ่นกรองคาร์บอนดูดกลิ่นและควันบุหรี่ แผ่นกรองสารเคมี(กรอง 2 ขั้นตอน)กรองสารเคมี สารพิษ รวมไปถึงเชื้อไวรัสบางชนิด
และขั้นตอนสุดท้ายตัวเครื่องจะปล่อยประจุไฟฟ้าลบช่วยในการดักจับฝุ่นละอองที่ไม่สามารถเข้ามาในตัวเครื่องส่งผลให้อากาศบริเวณนั้นสดชื่นมากยิ่งขึ้น (เรายังพบความสามารถในการปล่อยประจุไฟฟ้าลบได้ในพัดลมไอเย็นด้วย)
อ่านบทความเพิ่มเติม: 10 อันดับ พัดลมไอเย็นยี่ห้อไหนดี ของปี 2023 |
เหมาะกับ: ใช้งานในบ้านที่มีพื้นที่ขนาดไม่เกิน 40 ตารางเมตร สามารถตอบโจทย์การฟอกอากาศได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพได้ดีฟอกอากาศไม่แพ้กับรุ่นอื่นที่แนะนำเลยค่ะ แถมราคาก็ไม่แพงเหมาะกับคนที่งบน้อยแต่ได้เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีที่คุณภาพดีด้วย
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– สามารถปรับระดับความแรงของพัดลมได้ 3 ระดับ | – ไม่บอกค่าตัวเลขปริมาณ PM2.5 |
– ปล่อยประจุไฟฟ้าลบการดักจับฝุ่นได้ | |
– มีโหมดนอนและตั้งเวลาได้ | |
– แผ่นกรองอากาศ All in One 4 ชั้นภายในอันเดียว ฟอกอากาศ 6 ขั้นตอน | |
– สามารถทำความสะอาดดูดฝุ่นแผ่นกรองและนำกลับไปใช้ซ้ำได้ |
7.Tefal รุ่น PT3030FO
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 120 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ไม่ระบุ
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 300 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 43.3×26.8×57.5 ซม.
- น้ำหนัก: 5.8 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: ประมาณ 24 เดือน
- การรับประกัน: 2 ปี
เครื่องฟอกอากาศจาก Tefal มีชั้นกรองอากาศทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกันซึ่งจะช่วยดักจับฝุ่นอย่าง PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงแผ่นกรองคาร์บอนที่จะช่วยดูดควันจำพวกควันบุหรี่และกลิ่นอับได้
เขายังเคลมว่าสามารถฟอกอากาศให้กลับมาบริสุทธิ์ได้ภายใน 6 นาที พร้อมระบบเซนเซอร์ตรวจจับสภาพอากาศในห้องแบบเรียลไทม์แสดงผลผ่านไฟที่จะบ่งบอกว่าอากาศ ณ ขณะนั้นดีหรือไม่เพื่อให้เราสังเกตุง่าย
แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้บอกค่าตัวเลข PM2.5 จึงควรพิจรณาก่อนสำหรับคนที่ต้องการจุดนี้
อย่างไรก็ตามเครื่องฟอกอากาศ Tefal รุ่น PT3030FO นี้ยังมีฟีเจอร์ที่สำคัญให้เลือกใช้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าเวลาปิดอัตโนมัติได้ยาวนานถึง 8 ชม.
โหมดสำหรับการนอนที่ใช้ไฟและเสียงอย่างเหมาะสมและมีการเเจ้งเตือนทุกครั้งเมื่อต้องเปลี่ยนไส้กรอง
เหมาะกับ: การจัดวางในห้องที่มีขนาดใหญ่ไม่เกิน 120 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าครอบคลุมได้ในพื้นที่ที่กว้างมากว่ารุ่นอื่นๆที่ได้นำเสนอไป หากเพื่อนๆคนไหนต้องการเครื่องฟอกอากาศที่ครอบคลุมพื้นที่เยอะๆ เเนะนำตัวนี้เลยค่ะ
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– มีระบบล๊อค | – ไม่บอกค่าตัวเลขปริมาณ PM2.5 |
– แผ่นกรองอากาศ 3 ชั้นที่จะช่วยกรองฝุ่น ควันและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดี | |
– ระบบเซนเซอร์ตรวจจับอากาศอัจฉริยะพร้อมไฟบอกคุณภาพอากาศ | |
– มีระบบตั้งเวลา |
8.Electrolux รุ่น FA31-202GY
ข้อควรพิจรณา:
- สำหรับพื้นที่: 20-26 ตรม.
- มีแผ่นกรอง HEPA: มี
- ระดับเสียงการทำงานของเครื่อง: ≤ 63 เดซิเบล
- อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์: 203 ลบ.ม./ชม.
- ขนาด: 24x24x38 ซม.
- น้ำหนัก: 2.6 กก.
- อายุการใช้งานไส้กรอง: 6 เดือน
- การรับประกัน: 2 ปี
เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีจาก Electrolux ทรงกระบอกสีเทากรองอากาศได้ 360 องศา เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก
อีกทั้งยังเป็ระบบสัมผัสใช้งานง่าย มีโหมดนอนเหมือนเครื่องฟอกอากาศยี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาด(ที่จำเป็นสำหรับคนที่กำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศไว้ใช้ในห้องนอนโดยเฉพาะ)
โดยตัวกรองอากาศของโมเดลนี้ทำงานได้ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ดักจับขนสัตว์ กำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสบางชนิด และชั้นดักจับสารเคมีอันตรายบางประเภทที่อยู่รอบๆบ้านของเรา
ทำให้มั่นใจว่าเจ้าเครื่องนี้จะทำให้อากาศภายในบ้าน สะอาดสะชื่นและปลอดภัยแน่นอน
เหมาะกับ: บ้านที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก จำกัดที่สูงสุด 26 ตรม. เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีขนาดเล็ก จัดเก็บง่ายดีไซน์สีไม่เหมือนใคร
จุดเด่น: | จุดด้อย: |
---|---|
– มีจอแสดงผลระบบสัมผัส | – ไม่บอกค่าตัวเลขปริมาณ PM2.5 |
– แสดงไฟบอกสถานะค่าอากาศ | |
– มีเซนเซอร์ตรวจจับสภาพอากาศและปรับพัดลมให้โดยอัตโนมัติ | |
– กรองอากาศได้ 360 องศา | |
– มีการแจ้งสถานะตัวกรอง | |
– มีโหมด Sleep | |
– ระบบการกรอง 4 ขั้นตอน |
ทำไมถึงควรมีเครื่องฟอกอากาศไว้ติดบ้าน ?
อ้างอิงจากเว็บไซต์ของ World Health Organization หรือองค์กรอนามัยโลกที่ได้รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากมลภาวะทางอากาศโดยประมาณ 8 ล้านคนทั่วโลก
ทั้งจากฝุ่นควัน มลพิษที่มาจากยานพาหนะ โรงงานอุตสหกรรม การเผาป่า ตลอดไปจนถึงมลภาวะทางอากาศภายในบ้านอย่างเช่น ควันไฟจากการทำอาหาร ควันบุหรี่
ผู้คน 9 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกอาศัยอยู่ตามเมืองที่มีคุณภาพอากาศค่อนข้างแย่ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาทางสุขภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการไอ จาม ระคายเคืองตา เกิดโรคหอบหื่น ไปจนถึงอาการที่รุนแรงขึ้นอย่างโรคร้ายแรงระยะยาวอย่างโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งปอด
จะเห็นได้ว่ามลพิษทางอากาศที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันน้ันเกิดจากมนุษย์เราแทบจะทั้งหมด
นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ส่งผลอันตรายต่อชีวิต และแน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศได้ทั้งหมดไม่ว่าจะกักตัวอยู่ในบ้านก็ตาม
แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีเพราะเครื่องฟอกอากาศช่วยทำให้อากาศภายในบ้านสะอาดขึ้น ช่วยมลพิษทางอากาศภายในบ้านตลอดจนถึงสารก่อภูมิแพ้และขนสัตว์
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นตัวที่จะกำจัดปัญหาเหล่านั้นไปเลยซะทีเดียว แต่มันก็เป็นไอเท็มตัวช่วยชีวิตที่สุดยอดและราคาเอื้อมถึงสำหรับพวกเรา
สรุปข้อดีของการมีเครื่องฟอกอากาศไว้ติดบ้าน:
- ช่วยดักจับเชื้อโรคในอากาศอย่างแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้
- ช่วยทำให้อากาศภายในบ้านสะอาดสดชื่น ลดอาการเครียด
- ช่วยดักจับฝุ่นและควันที่เกิดขึ้นในบ้าน
- ช่วยดักจับและฟอกมลภาวะจากภายนอกบ้านอย่างเช่น PM2.5 ที่เล็ดลอดเข้ามา
- ช่วยดักจับขนสัตว์ ฝุ่น และละอองเกสรดอกไม้ ลดการเกิดภูมิแพ้หรือโรคทางเดินหายใจ
- ช่วยทำให้นอนหลับสบายเมื่อติดตั้งไว้ในห้องนอน
วิธีเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ
ก่อนที่เพื่อนๆจะซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เราได้แนะนำไปเบื้องต้นนั้น อย่าลืมเช็คปัจจัยที่สำคัญในการเลือกซื้อและจะต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมกับบ้านของเราด้วย
1.ขนาดพื้นที่ห้อง
เครื่องฟอกอากาศแต่ละยี่ห้อ จะแจ้งก่อนอยู่แล้วว่าแต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้งานสำหรับห้องขนาดเท่าไหร่ โดยเครื่องฟอกอากาศที่เราได้แนะนำทั้งหมดนั้นจะเป็นตัวเลือกสำหรับการใช้ในบ้านโดยเฉพาะ
ดังนั้นต้องตรวจสอบขนาดพื้นที่ห้องก่อนว่ามีขนาดเท่าใด เพราะเครื่องฟอกอากาศนั้นจะทำงานได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อมีพื้นที่ที่เหมาะสมค่ะ
2.เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA
แผ่นกรอง HEPA เป็นแผ่นกรองที่เคลมว่าสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนและกรองได้มีประสิทธิภาพถึง 99.7% เพื่อเลือกเครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีที่ดักจับฝุ่นและ PM2.5 ได้ดีแถมยังช่วยกำจัดเชื้อโรคด้วยอย่าลืมแผ่นกรอง HEPA นะ
3.ระดับเสียงการทำงาน
ระดับเสียงการทำงานของตัวเครื่องถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรจะพิรณาเนื่องจากเสียงนั้นอาจก่อกวน เกิดความรำคาญใจเมื่อใช้งานได้
กรณีที่ต้องการติดตั้งไว้ในห้องทำงานควรเลือกที่มีโหมดนอนหลับด้วยเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด
4.อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์
อันตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์มีหน่วยย่อภาษาอังกฤษคือ CADR ซึ่งจะบอกถึงระดับความเร็วที่เครื่องฟอกอากาศรุ่นนั้นๆสามารถฟอกอากาศในห้องนั้นได้ โดยยิ่งค่า CADR สูงก็แปลว่าเครื่องนั้นสามารถมารถฟอกอากาศได้เร็ว
หากเพื่อนๆอยากได้เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดีที่กรองอากาศในบ้านให้สะอาดสดชื่นโดยใช้เวลาเร็วมากที่สุดก็ควรเลือกรุ่นที่มีค่า CADR สูงด้วย
ส่งท้าย
ท้ายสุดแล้วเราอยากสรุปสั้นๆตอบคำถามให้เพื่อนๆที่กำลังลังเลในการเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ของปี 2023 ว่าทั้ง 8 อันดับที่เราได้นำเสนอไปข้างต้น
เป็นตัวเลือกที่หลายๆผู้ใช้งานต่างยอมรับในเรื่องของคุณภาพและไว้วางใจในบริการหลังการขาย เพื่อนๆอย่าลืมเช็คก่อนว่าแบบไหนบ้างที่เหมาะกับการใช้งานที่บ้านนะคะ แล้วเจอกันในบทความถัดไปค่ะ