หากคุณกำลังมองหาวิธีกำจัดไรฝุ่น ตามฟูกเตียง หมอน ผ้าห่ม พรมหรือตุ๊กตาที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะในเด็กเล็กหรือผู้ที่ป่วยเป็นภูมิแพ้
บ้านติฟูลขอแนะนำ “เครื่องดูดไรฝุ่น” ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณกำจัดจอมวายร้ายเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เครื่องดูดฝุ่นทั่วไป
บทความนี้ได้นำรีวิวเครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดีที่จะช่วยทำให้คุณและคนที่คุณรักห่างไกลการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา พร้อมกับความรู้ที่เกี่ยวข้องมาอธิบายเพื่อให้คุณสามารถมองภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น ว่าแล้วตามไปอ่านกันเลยค่ะ
ยาวไปไม่อ่าน งั้นเราสรุปให้!

รีวิวเครื่องดูดไรฝุ่น 7 ตัวที่ใช้ดี อยากแนะนำ
1.JIMMY รุ่น BX5
พลังดูด: 15,000Pa กำลังไฟฟ้า: 600W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 2.17 กก. |
Jimmy Bx5 เป็นเครื่องดูดไรฝุ่นตัวที่ชอบมากที่สุด เพราะปากดูดกว้างเกือบ 25 ซม. พร้อมแรงดูดที่สูง ดูดได้ลึกมากถึง 35 ซม. มีสายไฟสำหรับเสียบปลั๊กยาว 5 ซม.ตอกย้ำการทำงานที่มีความแรงทรงพลังและมีความสม่ำเสมอ ช่วยดูดฝุ่นและไรฝุ่นได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาได้มาก
เป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ไม่ใช้ถุงเก็บฝุ่น ข้อเสียคือคุณอาจจะต้องมีการสัมผัสฝุ่นหรือเกิดกากระจายตัวของฝุ่นได้ เพราะจำเป็นต้องมีการทำความสะอาดกล่องเก็บฝุ่นอยู่เป็นประจำ
แต่ข้อดีของมันคือมีเทคโนโลยี Dual Cyclone หรือชื่อภาษาไทยคือระบบไซโคลนคู่ ซึ่งเป็นเทคโลยีที่แยกชั้นฝุ่นกับอากาศออกจากกัน ไร้การกีดกันหรือบล๊อคพื้นที่ของกล่องที่มีขนาด 0.5 ล. ส่งผลให้เครื่องทำงานได้มีประสิทธิภาพ
อีกทั้งตัวเครื่องดูดไรฝุ่นนี้มาพร้อมกับแผ่นกรองฝุ่นแบบ HEPA เกรด MIF มีมาตรฐาน มีการใช้แสงไฟ UV พร้อมปล่อยคลื่นเสียงอัลตราโซนิกที่จะช่วยไปกำจัดเจ้าวายร้ายเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนั้นเเล้วคุณยังสามารถปรับโหมดการทำงานได้ 2 แบบ ได้แก่ แรงเบาและแรงสูง ขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นผิวนั้นๆ
ต้องขอบอกเลยว่า Jimmy รุ่น BX5 นี้เป็นเครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดีที่คุณควรพิรณามากที่สุดในตอนนี้แล้ว เพราะมันครบครันจริงๆ ไม่ว่าจะแรงดูดที่สูงใช้ได้เลยแถมมีฟิลเตอร์ HEPA อีกด้วย
- มีพลังดูดที่สูง
- ใช้แผ่นกรอง HEPA
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- ใช้เทคโนโลยีไซโคลนคู่ในการแยกฝุ่น
- มีการใช้แสงไฟ UV และคลื่นเสียง
- ไม่มีถุงเก็บฝุ่น
- มีน้ำหนักและสายไฟ
2.JIMMY รุ่น JV12
พลังดูด: 10,000Pa กำลังไฟฟ้า: 400W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 3 กก. |
อีกรุ่นนึงที่บ้านติฟูลอยากแนะนำสำหรับแบรนด์ Jimmy ที่ต้องขอยอมรับในประสิทธิภาพการทำงานของมันจริงๆ โดยรุ่นนี้มีลักษณะภาพรวมคล้ายคลึงกับรุ่น BX5 ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปร่าง ตัวแผ่นกรอง HEPA เกรด MIF และยังคงใช้ UV และคลื่นเสียงในการกำจัดไรฝุ่น
ยังคงเป็นเครื่องดูดไรฝุ่นเสียบปลั๊กสายยาว 5 ม. เหมือนๆกัน ตัวกล่องเก็บฝุ่นที่มีขนาด 0.4 ล.เล็กลงมานิดหน่อย แต่ยังมีการใช้เทคโนโลยีไซโคลนคู่ที่บ้านติฟูลคิดว่ามันค่อนข้างจำเป็นสำหรับเครื่องดูดไรฝุ่นประเภทนี้เอามากๆเพื่อให้มันส่งเสริมให้เครื่องทำงานตามเสปคที่ถูกวางไว้
สิ่งที่แตกต่างคงจะเป็นเรื่องของพลังดูด ตัวนี้จะมีแรงดูดน้อยกว่าแต่จากรีวิวผู้ใช้งานหลายคนแล้ว ทำให้ได้คำตอบว่ามันสามารถดูดไรฝุ่นได้ดีไม่แพ้กันเลยค่ะ
สรุปแล้วเครื่องดูดไรฝุ่นจากยี่ห้อ Jimmy ในรุ่น JV12 เป็นอีกทางเลือกสเปคจะน้อยกว่า BX5 แต่จะมีราคาที่ถูกลงมา
- มีพลังดูดที่เพียงพอต่อการกำจัดไรฝุ่น
- ใช้แผ่นกรอง HEPA
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- ใช้เทคโนโลยีไซโคลนคู่ในการแยกฝุ่น
- มีการใช้แสงไฟ UV และคลื่นเสียง
- ไม่มีถุงเก็บฝุ่น
- มีน้ำหนักและสายไฟ
3.ALTEC รุ่น M1 Plus
พลังดูด: 8,500Pa กำลังไฟฟ้า: 150W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 1.72 กก. |
หากคุณกำลังมองหาเครื่องดูดไรฝุ่นแบบไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ มีน้ำหนักเบา ใช้งานได้สะดวกกว่า สามารถนำไปดูดไรฝุ่นในรถยนต์ได้ง่ายๆ บ้านติฟูลขอแนะนำรุ่นนี้เลยค่ะ
เครื่องดูดไรฝุ่นแบบไร้สายแต่จะต้องใช้แบตเตอรี่แทน แบตจุได้ขนาด 2,200mAh เพื่อใช้งานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แบบนี้จึงไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ต้องการเน้นใช้งานยาวๆ แต่มันก็ถือว่าช่วยทำงานในขอบเขตเล็กๆได้ดี
โดยมี 2 โหมดให้เลือกใช้ ได้แก่ โหมดพลังงาน ใช้งานได้ประมาณ 20 นาที และโหมดถาวรใช้งานได้ประมาณ 40 นาที
ที่ว้าวคือระบบกรองของเจ้าเครื่องดูดไรฝุ่นตัวนี้ที่มี ตัวกรอง 4 ตัวในเครื่อง! สามารถกรองฝุ่น อากาศ ไรฝุ่น เศษผม ขนสัตว์ ได้หมด และแน่นอนว่ารองรับแผ่นกรอง HEPA ตัวนี้จำเป็นมากจริงๆ โดยมีกล่องเก็บฝุ่นที่ขนาด 0.5 ล.
ที่ไม่แพ้กันคือมีหลอดไฟ UV ขนาดความยาวประมาณ 10 ซม. ที่จะดับอัตโนมันหากมันถูกยกขึ้นจากพื้นผิวสัมผัสพร้อมกับ ตัวตบช่วยให้เกิดการสั่นสะเทือนเพื่อให้เ้ข้าถึงเจ้าไรฝุ่นที่แอบซ่อนลึกในผ้าปูนั่นเองค่ะ
- ไร้สาย
- ใช้แผ่นกรอง HEPA
- น้ำหนักเบา
- ใช้ไฟ UV ช่วยในการกำจัดไรฝุ่น
- ต้องชาร์จแบตเพื่อใช้งาน
- พลังดูดลดลงตามจำนวนแบตเตอร์รี่
- ไม่มีถุงเก็บฝุ่น
4.XIAOMI รุ่น Dust Mites Vacuum Cleaner
พลังดูด: 12,000Pa กำลังไฟฟ้า: 330W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 2.3 กก. |
เครื่องดูดไรฝุ่นจาก Xiaomi เป็นอีกตัวที่น่าใช้งานมากๆค่ะ เนื่องจากมันมีพลังดูดที่มากถึง 12,000Pa พร้อมกับระบบกรอง 3 ชั้น หมุนด้วยพลังไซโคลน ที่สำคัญคือมาพร้อมกับไส้กรอง HEPA สามารถกรองสิ่งสกปรกที่มีอนุภาคเล็กถึง 0.3 ไมครอน ช่วยยับยั้งและกำจัดฝุ่นได้มากถึง 99%
ตัวปากดูดกว้างพอสมควร โดยมีความกว้างอยูที่ 20 ซม. ซึ่งมันจะช่วยทำงานได้เร็วมากขึ้น รุ่นนี้ก็มาพร้อมกับการใช้แสงไฟ UV-C ที่จะฆ่าเชื้อเหล่านั้นได้ มีความพิเศษคือมีการปล่อยลมร้อนที่อุณหภูมิ 50° ช่วยฆ่าและทำลายความชื้นที่มันชอบได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ระดับหนึ่งเลย
สรุปแล้วเครื่องดูดไรฝุ่นจากเสียวหมี่รุ่นนี้สามารถทำงานได้อย่างตอบโจทย์และคราบครัน ไม่ว่าจะเป็นการดูดฝุ่น กำจัดไรฝุ่น ฆ่าเชื้อโรคและยังช่วยลดความชื้นตามพื้นผิวอย่างผ้าปูที่นอนเพื่อป้องกันการก่อตัวของเชื้อโรคเหล่านี้ได้ด้วย
- มีพลังดูดที่สูง
- ใช้แผ่นกรอง HEPA
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- ใช้เทคโนโลยีไซโคลน
- มีการใช้แสงไฟ UV-C
- มีการเป่าลมร้อน ลดความชื้น
- ไม่มีถุงเก็บฝุ่น
- มีน้ำหนักและสายไฟ
5.DEERMA รุ่น CM800
พลังดูด: 13,000Pa กำลังไฟฟ้า: 450W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 1.45 กก. |
Deerma รุ่นนี้จัดได้ว่าเป็นเครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดีที่น้ำหนักค่อนข้างเบา จุดเด่นของมันคือด้ามจับถูกออกแบบมาให้โค้งตามรูปมือ ช่วยทำให้จับสะดวกในขณะใช้งาน เหมาะกับแม่บ้านคนไหนที่กำลังมองหาเครื่องดูดไรฝุ่นดูใช้งานง่าย
รุ่นนี้มีพลังดูดค่อนข้างสูงในขณะที่ตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก ประกอบกับมีการใช้ตัวกรอง HEPA ตัวสำคัญที่ควรมองหาเป็นอย่างแรกๆในการเลือกซื้อเครืองดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี
และยังมีการใช้รังสี UV-C ที่มันจะดับอัตโนมัติหากยกขึ้นออกจากพื้นผิว หมดกังวลว่าจะเกิดอันตรายได้ และยังมีการปล่อยลมร้อนที่อุณหภูมิ 50° พร้อมแรงสั่นสะเทือนช่วยในการกำจัดเจ้าไรฝุ่นได้อย่างทั่วถึงด้วยค่ะ
- มีพลังดูดที่สูง
- ใช้แผ่นกรอง HEPA
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- มีการใช้แสงไฟ UV-C
- มีการเป่าลมร้อน ลดความชื้น
- มีสายไฟ
6.IRIS OHYAMA รุ่น IC-FAC2
พลังดูด: – กำลังไฟฟ้า: 400W ประเภทฟิลเตอร์: – น้ำหนัก: 1.6 กก. |
เครื่องดูดไรฝุ่นจากแบรนด์ไอริส โอยามา เป็นแบรน์มาตรฐานญี่ปุ่นที่มีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยในการใช้งาน มีเทคโนโลยีพลังดูดไซโคลนแรง บวกกับการใช้งานผ่านการเสียบปลั๊กที่มีความยาว 4 ม. แรงสม่ำเสมอ สามารถดูดฝุ่น ละออง ไรฝุ่นจากเฟอนิเจอร์ในบ้านได้อย่างเต็มกำลังด้วยความจุของกล่องเก็บฝุ่นขนาด 0.2 ล.
สิ่งที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆคือในตัวกล่องเก็บฝุ่นมีแสงไฟสีเขียว ส้มและแดงที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์จับฝุ่นช่วยแสดงถึงความสกปรกที่มันจับได้
หากมันเป็นสีส้มหรือแดงนั่นแปลว่าคุณยังจำเป็นต้องดูดฝุ่นบริเวณนั้นต่อ พร้อมหัวดูดขนาดกว้าง 20 ซม. ส่วนหัวปรับองศาได้ตามรูปแบบของพื้น นับว่าเป็นเครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดีที่ออกแบบมาให้งใช้งานง่ายมาก
สรุปแล้วเจ้า Iris Ohyama รุ่นนี้เป็นเป็นอีกตัวที่ต้องบอกเลยว่ามันดูดแรงดี ถ้าหากได้ลองแล้วคุณจะต้องตกใจว่ามันสามารถดูดสิ่งสกปรกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
- แรงดูดสูง
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- มีเทคโลยีไซโคลน
- มีไฟบ่งบอกความสกปรกของส่วนที่กำลังทำความสะอาด
- หัวปรับองศาได้
- ไม่ได้บอกว่ามีแผ่นกรอง HEPA
- มีสายไฟ
7.HOMU
พลังดูด: 10,000Pa กำลังไฟฟ้า: 400W ประเภทฟิลเตอร์: HEPA น้ำหนัก: 1.75 กก. |
เครื่องดูดไรฝุ่นจาก Homu นับว่าเป็นตัวที่ขายดีในท้องตลาดเลยทีเดียวค่ะ เพราะว่ามีคุณสมบัติที่ครบครันทั้งแรงดูดเและมีแผ่นกรอง HEPA รวมไปถึงการใช้แสงไฟ UV-C ในการช่วยฆ่าเจ้าไรฝุ่นที่แอบซ่อนตัวลึกลงไปตามพื้นผิว
มีสายไฟยาวเกือบ 4 ซม.ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานตามเตียงนอน เฟอนิเจอร์เล็กๆที่ไม่ได้มีพื้นที่มาก ซึ่งคุณสมบัติครบครันเหมือนรุ่นอื่นๆ แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือตัวกล่องงเก็บฝุ่นที่มีสีทึบ ทำให้เดายากว่ามันจะเต็มตอนไหน แต่ภาพรวมแล้วเป็นรุ่นที่ชอบมากอีกตัวเลยค่ะ
- พลังดูดเพียงพอต่อการดูดไรฝุ่น
- พลังดูดมีความสม่ำเสมอเพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องเสียบปลั๊กใช้งาน
- มีไฟ UV-C ช่วยในการฆ่าเชื้อโรค
- มีสายไฟ
วิธีเลือกซื้อเครื่องดูดไรฝุ่น
จากการศึกษาประกอบการเปรียบเทียบเครื่องดูดไรฝุ่นในท้องตลาดไทยพบว่ามีสองคุณสมบัติที่ควรมีในเครื่องดูดไรฝุ่นนั่นก็คือ
จะต้องเป็นเครื่องดูดไรฝุ่นที่มีพลังแรงดูดหรือจำนวนวัตต์ที่สูง (ยิ่งสูงยิ่งมีประสิทธิผลมากกว่า)
และใช้แผ่นกรอง HEPA ซึ่งเป็นแผ่นกรองอนุภาคขนาดเล็กที่ปะปนอยู่ในอากาศ อย่างเช่น ไวรัส ฝุ่น ขนสัตว์ และไรฝุ่นด้วย มันยังช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นได้มากถึง 99.9% คุณยังพบมันได้ตามอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านอย่าง เครื่องดูดฝุ่น แอร์ และเครื่องฟอกอากาศด้วย
ประกอบกับเครื่องดูดไรฝุ่นส่วนใหญ่มักมีการใช้แสง UV ในการกำจัดเจ้าไรฝุ่นด้วย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการฆ่าเจ้าวายร้ายได้อย่างดี
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นองค์ประกอบภายนอกที่ขึ้นอยู่กับความชอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์หรือประเภทของตัวเครื่อง นี่รวมไปถึงขนาดด้วย ซึ่งบางคนอาจจะชอบเครื่องดูดไรฝุ่นขนาดเล็กแบบมือถือเพราะสะดวกกว่า
หรือจะเป็นแบบเครื่องดูดไรฝุ่นแบบมีสายและไร้สาย แบบมีถุงเก็บฝุ่นหรือไม่มีถุงเก็บฝุ่น สิ่งเหล่านี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากอยากรู้เพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านการเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่นได้เลยค่ะ
คำถามที่มักพบบ่อย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่บ้านมีไรฝุ่นหรือไม่?
ไรฝุ่นโดยธรมชาติมันจะมีอยู่ตามบ้านเรือนแน่นอนค่ะ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ค่อนข้างยากเพราะว่าไม่สามารถมองเห็นมันด้วยตาเปล่า ไม่ว่าคุณจะปัดฝุ่น ดูดฝุ่นหรือถูพื้น บ่อยแค่ไหนก็ตาม เจ้าไรฝุ่นก็ยังคงอาศัยอยู่ภายในบ้านของคุณตลอดเวลา
หากคุณสงสัยว่าคุณหรือคนในครอบครัวเกิดการเจ็บป่วยกระปริบกระปรอยบ่อยๆ โดยสังเกตุได้จากอาการไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล มีผื่นคันตามตัว ยังทำให้เกิดภูมิแพ้สารพัดด้วย สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากเจ้าไรฝุ่นที่แอบอยู่ตามทุกซอกทุกมุมในบ้านของเรานี่เอง
เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาดูดไรฝุ่นได้ไหม?
เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องดูดฝุ่นทั่วไปไม่สามารถดูดไรฝุ่นออกมาได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าไรฝุ่นอาศัยอยู่ลึกลงไปในชั้นพื้นผิว ในขณะที่เศษฝุ่นและขยะชิ้นเล็กๆจะอยู่บริเวณพื้นผิวด้านบน ทำให้เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาเข้าถึงยาก
หรือจะต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีพลังดูดสูงเอามากๆ แถมมันยังไม่ช่วยการันตีได้ด้วยว่ามันจะกำจัดไรฝุ่นไปได้ทั้งหมด
ด้วยเหตุผลนี้บ้านติฟูลจึงอยากแนะนำใช้เครื่องดูดไรฝุ่นมากกว่าการใช้เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาและมั่นใจได้ว่ามันจะไปกำจัดไรฝุ่นในบ้านของคุณได้จริงๆ
ไฟ UV ช่วยฆ่าไรฝุ่นได้ไหม?
แสงไฟ UV สามารถฆ่าไรฝุ่นได้จริงค่ะแต่จะต้องเป็นประเภท UV-C (Ultraviolet C) ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในอากาศ พื้นผิว หรือในน้ำได้อย่างดี
สรุปแล้วเครื่องดูดไรฝุ่นจำเป็นจริงๆหรือเปล่า?
อันนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มบุคคลค่ะ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ผู้ที่เจ็บป่วยบ่อยๆ เครื่องดูดไรฝุ่นจะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี เพราะมันจะช่วยกำจัดเชื้อโรคอย่างไรฝุ่นได้ดีกว่าการทำความสะอาดทั่วไป
แต่หากคุณไม่ได้มีอาการตามที่ได้กล่าวไปข้างบนบ่อยๆ ไม่มีเครื่องดูดไรฝุ่นก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะ หากคุณดูแลทำความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะมุมอับตาเข้าถึงอยาก เพียงแค่นี้ก็ช่ยลดการกระจายตัวของเจ้าไรฝุ่นได้แล้ว
