ทีวียี่ห้อไหนดี 4K UHD รุ่นใหม่มาแรงที่สุดของปี 2023

ด้วยความที่เทคโนโลยีของทีวีถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ทีวีถูกผลิตออกมามากมาย อย่างต่อเนื่องแต่ติดตรงที่จะซื้อตัวไหนดี? 

แน่นอนหล่ะว่า ทีวี 4K เป็นตัวเลือกทีวีที่ดีที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากให้ภาพที่สวยมากกว่ารุ่นเก่าๆอย่างเห็นได้ชัดและยังมีหลายราคาหลายเกรดให้เลือก

การเลือกซื้อทีวีสิ่งสำคัญคือเลือกทีวีที่คุณต้องการ ฟังก์ชั่นการที่ตอบโจทย์คุณเอง เลือกซื้อทีวีที่มีคุณภาพ มีบริการที่น่าเชื่อถือ เพราะการมีทีวีดีดีสักเครื่องจะใช้ได้ไปอีกยาวนาน 

บ้านติฟูลได้นำทีวียี่ห้อไหนดี รุ่นฮอตฮิตที่น่าซื้อ น่าใช้ของปีมารีวิวแล้วในบทความนี้ พร้อมกับเทคนิคในการเลือกซื้อทีวีที่ไม่ควรมองข้าม หวังว่ามันจะช่วยคุณตัดสินใจได้นะคะ 

ทีวี 4K UHD 11 รุ่นที่แนะนำหาก กำลังมองหาทีวียี่ห้อไหนดีของปีนี้

หมายเหตุ: ในทีวีแต่ละขนาดอาจมีสเปคบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเช็คให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อนะคะ 

1.LG รุ่น OLEDCX

ทีวียี่ห้อไหนดี LGOLEDCX

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 48 นิ้ว (และมีขนาด 55 และ 65 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: OLED
  • รุ่นปี: 2020
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HLG,Dolby Vision
  • ระบบปฏิบัติการ: Smart TV ระบบปฏิบัติการ webOS
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 4,3 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 1 ปี

ทีวี LG OLED นับว่าเป็นทีวีที่ดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีเคยมีมาก็ว่าได้ โดย LG OLEDCX นั้นเป็นตัวท๊อปที่ได้รับความนิยมในบรรดาจอ OLED 

เพราะมันให้ภาพที่คมชัดลึก สีสันสวยงามอลังการ ระดับความดำที่สุด ถ้าหากเป็นคนชอบดูภาพยนต์หรือเล่นเกมจะถูกใจ CX แน่นอนค่ะ 

จอ OLED เป็นจอแบนที่บางที่บางที่สุดแล้วในบรรดาทีวีทั้งหมด นั่นก็เพราะมันไม่ใช้แบลคไลท์ที่ด้านหลังเหมือนทีวีประเภทอื่นๆ จึงสามารถออกแบบให้มีจอบางลงได้ 

มี Alpha9 Gen3 AI Processor 4K โพรเซสเซอร์ภาพที่วิเคราะห์ภาพบนหน้าจอได้เสมือนภาพ 3 มิติทำให้มีความละเอียดและดูสมจริงมากยิ่งขึ้น 

พร้อมรองรับ Dolby Vision IQ ที่ทำให้เข้าถึงคอนเท้นต์ที่หลากหลาย ตัวทีวีจถูกปรับตั้งค่าเองโดยอัตโนมัติตามประเภทเนื้อหารวมไปถึงปริมาณความสว่างภายในห้อง

มีโหมด FILMMAKER Mode ที่ได้รับคอนเทต์มาตรฐานโรงหนัง พร้อมกับระบบเสียง DOLBY ATMOS 

พร้อมกับทำงานร่วมกับระบบ ThinQ AI สั่งงานด้วยเสียงพร้อมกับสมาร์ทอุปกรณ์ในบ้านช่วยทำให้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น

จุดเด่น:

  • หน้าจอ OLED ให้ภาพงดงาม
  • มีขนาด 48 นิ้ว
  • จอบาง น้ำหนักเบา
  • รองรับ Dolby Vision IQ  
  • รองรับระบบเสียง Dolby Atmos 
  • มีระบบอัจฉริยะ ThinQI AI
  • เมจิกรีโมท
  • HDMI 2.1 ซับพอร์ท PS5

จุดด้อย:

  • ราคาแพง

2.Sony รุ่น X80J

SonyX80J

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 55 นิ้ว (และมีขนาด 43,50,,65 และ 75 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LCD , Direct LED
  • รุ่นปี: 2021
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HLG,Dolby Vision
  • ระบบปฏิบัติการ: Android TV 
  • ขนาดและน้ำหนัก(ไม่รวมขาตั้ง): 124.3×71.9×7.1ซม.,15.7 กก. 
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 4,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 3 ปี

ทีวีโซนี่ X80J มีความคล้ายคลึงกับ X75H ทั้งในเรื่องของตัวโพรเซสเซอร์ภาพ,เทคโนโลยีช่วยอัพสเกลคอนเท้นต์ 4K X-Reality Pro และหน้าจอ Triluminos 

แต่ใน X80J นี้มีการอัพเดทสเปคขึ้นมาในเรื่องของ HDR และระบบเสียง ได้แก่การรองรับแพลตฟอร์ม Dolby Vision และระบบเสียงที่ใช้  Dolby Atmos เป็นระบบเสียงที่ใช้ในโรงภาพยนต์ ให้เสียง 360 องศารอบด้าน ทำให้ได้รับประสบการณ์ในการรับฟังที่พิเศษกว่าในรุ่นที่ไม่มีเจ้าตัวนี้ 

อย่างไรก็ตามอัตราการรีเฟรช 60 Hz ยังคงเหมือนรุ่นทั่วไปและไม่ได้เสนอช่องเสียบ HDMI 2.1 หากกำลังวางแผนที่จะซื้อ PS5 ควรพิจรณาจุดนี้ด้วยค่ะ 

จุดเด่น:

  • รองรับ Dolby Vision 
  • เป็นแอนดรอยด์ทีวี ทำให้มีลูกเล่นในการใช้งานเยอะ 
  • มี Chromecast built in
  • มีระบบเสียงที่รองรับ Dolby Atmos ที่มีความพิเศษให้เสียง 3 มิติ 

จุดด้อย:

  • ราคาค่อนข้างแพง

3.LG รุ่น NANO77TPA

LG-NANO77TPA

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 55 นิ้ว (และมีขนาด 50 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: Nanocell (LED)
  • รุ่นปี: 2021
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HDR10+,HLG
  • ระบบปฏิบัติการ: Smart TV ระบบปฏิบัติการ webOS 6.0
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 1 ปี

สมาร์ททีวีจาก LG เป็นทีวีที่ถูกพัฒนาให้มีสีสด สมจริงใกล้เคียงกับจอ OLED แต่อยู่ในราคาที่เฟรนลี่มากกว่าหลายเท่า โดย LG NANO77TPA นั้นใช้หน้าจอที่มีชื่อว่า “นาโนเซลทีวี”

ซึ่งมันก็คือจอ LED ที่ถูกอัดด้วยชั้นอนุภาค Nanocell เจ้าอนุภาพตัวนี้จะไปกรองแสงจากแม่สี REG (Red,Green,Blue) ให้มีสีที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพื่อทำให้มันแสดงสีที่บริสุทธิ์ตามจริงเป๊ะๆ 

ดังนั้นถ้าคุณต้องการทีวีสีสวยๆที่ดีกว่าจอ LED ทั่วไปแต่ไม่แพง ทีวีนาโนเซลนี่แหละใช่เลย

อย่างไรก็ตามทีวี LG Nanocell ก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากไปจากทีวี UHD อื่นๆแต่อย่างไร โดยมี Quad Core Processor 4K ช่วยสนับสนุนการทำงานของ HDR (รองรับ HDR10+) 

ส่งผลให้ภาพมีความคมชัด ขจัดสัญญาณรบกวนและยังรองรับการปรับคุณภาพคอนเท้นต์ให้ดีเทียบเท่ากับ 4K ด้วยเหมือนกัน 

สิ่งที่สะดุดตาคงจะเป็นเจ้าตัว ThinQ AI ระบบอัจริยะที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้ได้ใช้ทีวีอย่างสะดวกสบาย รวดเร็วและง่ายขึ้น ด้วยการงานผ่านเสียง รวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆภายในบ้าน 

จุดเด่น:

  • ใช้อนุภาคนาโนเซลที่ทำให้ได้สีสดสวยใกล้เคียงกับหน้าจอ OLED(แต่ระดับความดำไม่เทียบเท่า)
  • ระบบปฏิบัติการ Web 6.0 ที่ใช้งานง่าย พร้อมกับการปรับแต่งอย่างชาญฉลาดให้เข้ากับบุคคล 
  • รองรับ HDR10+
  • มี ThinQ รองรับการสั่งการและควบคุมด้วยคำสั่งเสียง 

จุดด้อย:

  • ผลิตเพียง 2 ขนาดซึ่งเป็นขนาดใหญ่ 
  • ไม่รองรับ Dolby Vision

4.Samsung รุ่น AU7700

SamsungAU7700

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 65 นิ้ว (และมีขนาด 43,50,55 และ 75 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED 
  • รุ่นปี: 2021
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HDR10+,HLG
  • ระบบปฏิบัติการ: Smart TV ระบบปฏิบัติการ Tizen
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,1 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 1 ปี

ถ้าหากกำลังมองหาทีวียี่ห้อไหนดี ระดับ 4K ที่ให้ภาพคมชัด สีสวยสดใสเพียงพอต่อการมีทีวีดีดีสักเครื่องใน เรทราคาไม่แพง เราคิดว่า Sumsung AU7700 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดแล้วตอนนี้ 

และยังเป็นสมาร์ทีวีที่ยังเข้าใจได้ง่ายเพราะใช้ระบบปฏิบัติการ Tizen OS จากซัมซุงที่ถูกออกแบบให้ดูสะอาดตา คนใช้งานสามาถเข้าใจและติดตั้งเองได้ง่าย 

คุณภาพของภาพถูกขับเคลื่อนด้วย Crystal Processor 4K เสริมด้วยเทคโนโลยี PurColor ช่วยส่งมอบภาพที่มีสีสันสดใสเป็นธรรมชาติและให้ความละเอียด คมชัดในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานสำหรับทีวีจอแบนในปัจจุบัน 

รวมไปถึงการรองรับ HDR10+ ในการปรับคุณภาพในเรื่องของแสงและสีให้เหมาะสมกับแต่ละฉาก ทำให้ดูสมูทและเข้าถึงอถรสของการรับชมได้มากยิ่งขึ้น 

แนะนำว่าควรปรับค่าความสว่าง ระดับคอนทราสและความชัดเล็กน้อยเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ในการรับชมที่รู้สึกพึงพอใจมากที่สุดโดยระดับบุคคล 

ส่วนในเรื่องของเสียงถือว่าอยู่ในระดับโอเค(มักจะพบในทีวีจอแบนปกติ) รองรับระบบ Dolby Digital Plus และให้เสียง Q Symphony ช่วยกระจายเสียงรอบทิศทาง แนะนำใช้กับซาวด์บาร์หรือโฮมเธียร์เตอร์สักตัวในกรณีที่ต้องการเพิ่มคุณภาพของเสียงค่ะ 

จุดเด่น:

  • ให้ภาพชัด สีสวย ในราคาที่ไม่แพง 
  • มีหลากหลายขนาดให้เลือกซื้อ 
  • ระบบเสียงรองรับ Dolby Digital Plus 
  • มีเทคโนโลยี Motion Xcelerator (60Hz) ปรับเฟรมเรทอัตโนมัติ 

จุดด้อย:

  • เมื่อเริ่มใช้งานควรปรับค่าแสงในทีวีเล็กน้อยเพื่อที่จะได้ประสบการณ์ในการรับชมที่ถูกใจที่สุด 
  • ไม่รองรับ Dolby Vision (Sumsung ส่วนใหญ่ใช้แค่ HDR1+)

5.Samsung รุ่น TU8300 (จอโค้ง)

SamsungTU8300

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 55 นิ้ว (และมีขนาด 65 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED  
  • รุ่นปี: 2020
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HDR10+,HLG
  • ระบบปฏิบัติการ: Smart TV ระบบปฏิบัติการ Tizen
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 1 ปี

ถ้าคุณกำลังมองหาทีวีจากซัมซุงที่มีรูปลักษณ์เก๋ๆไปอีกแบบ TU8300 เป็นรุ่นที่ทีมีหน้าจอ Crystal จอโค้งให้ความพรีเมียม 

พร้อม Crystal Processor 4K ของซัมซุงเองที่ทำให้ได้สีและรายละเอียดต่างๆของทีวีรุ่นมีความชัดมากขึ้นจากจอ LED ทั่วไป บวกกับรองรับคอนเท้นต์ HDR10+ ช่วยมอบประสบการ์ในการรับชมในแต่ละฉากได้อย่างมีความสุข

ซัมซุงยังมีโหมด Ambient ช่วยแต่งบ้านได้อย่างลงตัว ยกตัวอย่างเจ๋งๆ ได้แก่ แสดงข้อมูลปฏิทิน สภาพอากาศ หรือรูปภาพ เป็นทีวีหน้าจอโค้งที่จะช่วยเพิ่มลูกเล่นในการแต่งห้องไปอีกขั้นนึง

ข้อจำกัดที่เห็นได้ชัดเจนคงจะเป็นเรื่องของการรับภาพจากด้านข้างจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ และไม่มี local dimming ซึ่งเป็นส่วนทำให้ส่วนที่เป็นพื้นดำไม่ดำสนิทมากเหมือนจอ OLED แต่หากไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้ยังไงก็คุ้ม

จุดเด่น:

  • ทีวี 4K แบบจอโค้ง 
  • รองรับ HDR10+ 
  • รองรับระบบเสียง Dolby Digital Plus

จุดด้อย:

  • คุณภาพของภาพลดลงเมื่อมองจากด้านข้าง 
  • ไม่รองรับ Dolby Vision

6.Sony รุ่น X75H

SonyX75H

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 65 นิ้ว (และมีขนาด 43,49 และ 55 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED 
  • รุ่นปี: 2020
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HLG
  • ระบบปฏิบัติการ: Android TV 
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 3 ปี

Sony ในรุ่น X7500H เป็นแอนดรอยด์ทีวีที่ใช้ได้ดีทั่วไป ไม่ว่าจะดูหนัง ละคร ซีรีย์ กีฬาแต่เนื่องจากเป็นแอนดรอยด์ทีวีที่เรารู้กันดีว่าจะต้องทำความเข้าใจหรือคุ้นเคยอยู่ระดับหนึ่ง 

ในรุ่นนี้ใช้โพรเซสเซอร์ภาพที่มีชื่อว่า 4K Processor X1 ประมวลผลภาพด้วยหน้าจอ Triluminos ปรับสเปคตรัมของสีส่งผลให้ภาพมีความโดดเด่น ชุ่มฉ่ำ เป็นธรรมชาติ ดูง่ายสบายตามากขึ้น 

มีเทคโนโลยี  4K X-Reality PRO ช่วยอัพสเกลคุณภาพของคอนเท้นต์ที่มีความละเอียดระดับ Full HD ให้ชัดขึ้นเหมือน 4K ด้วยเช่นเดียวกัน 

สำหรับคนที่อยากได้มาเล่นเกมโดยเฉพาะ รุ่นนี้ก็ใช้เล่นเกมได้ทั่วๆไป โดยอัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 60Hz ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในเรทนี้ค่ะ 

แต่ถ้าอยากได้ทีวียี่ห้อไหนดีไว้เล่นเกมโดยเฉพาะ Sony  ซีรีย์ X80J จะตอบโจทย์มากกว่าและมีราคาสูงกว่าเช่นกัน 

จุดเด่น:

  • เป็นแอนดรอยด์ทีวี ทำให้มีลูกเล่นในการใช้งานเยอะ 
  • มี Chromecast built in
  • มีระบบเสียงที่รองรับ Dolby Audio

จุดด้อย:

  • ไม่รองรับ HDR10+ หรือ Dolby Vision 

7.Hisense รุ่น E7G/A6500G

HisenseE7G_A6500G

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 43 นิ้ว (และมีขนาด ,50,55,58,65 และ 70 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED 
  • รุ่นปี: 2020
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HLG
  • ระบบปฏิบัติการ: Android TV 
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 3 ปี
  • ประเภทหน้าจอ: LED
  • รุ่นปี: 2021
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HDR10+,Dolby Vision 
  • ระบบปฏิบัติการ: Android TV 
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,2 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 3 ปี

ทีวีจาก Hisense เป็นทีวีราคาเฟรนลี่มีครบทุกอย่างเหมือนทีวีระดับไฮเอนด์ อย่างเช่นการรองรับ Dolby Vision และ ระบบเสียง Dolby Atmos ครอบคลุมในการใช้งานที่หลากหลายในราคาไม่แพงและยังให้คุณภาพการรับชมได้เหมาะกับการดูทีวี 4K ในชีวิตประจำวันทั่วไป

เป็นแอนดรอยด์ทีวี ที่รองรับ Chrome Cast protocols เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ อีกทั้งตัวรีโมทก็สั่งงานผ่านเสียงได้เหมือนสมาร์ททีวีตัวอื่นๆ 

จุดเด่น:

  • ราคาไม่แพง
  • มีหลากหลายขนาดให้เลือกซื้อ
  • รองรับ Dolby Vision 
  • รองรับระบบเสียง Dolby Atoms

จุดด้อย:

  • มีดีเลย์เมื่อเชื่อมต่อ Cast ในบางครั้ง 

8.LG รุ่น UP7750

LGUP7750

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 55 นิ้ว (และมีขนาด 43,50,60,65 และ 70 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED 
  • รุ่นปี: 2021
  • การรองรับ HDR: รองรับ HRR10,HLG 
  • ระบบปฏิบัติการ: Smart TV ระบบปฏิบัติการ webOS 6.0
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 2,1 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 1 ปี

LG ในรุ่น UP7750PTA เป็นรุ่นที่คล้ายๆกับ LG ตัวอื่นๆอย่าง NANO77TPA และ OLED CX ในเรื่องของโปรเซสเซอร์ภาพ Quad Core Processor 4K และระบบ ThinQ AI 

แต่ตัวนี้จะใช้หน้าจอ LED ข้อดีคือทำให้มีราคาถูกลงมามากกว่าทั้ง 2 รุ่นที่ได้กล่าวไปอย่างเห็นได้ชัด  และยังนำเสนอคุณภาพของภาพได้ดีเยี่ยมเช่นเดียวกัน 

พร้อมกับโหมด FILMMAKER ช่วยทำให้มีการถ่ายทอดภาพออกมาได้อย่างแม่นยำจึงเหมาะกับบ้านที่อยากได้ทีวี 4K ในราคาที่ไม่แพง ไว้ดูภาพยนต์สนุกๆ

ในภาพรวมคิดว่ายังมียี่ห้ออื่นๆที่เป็นหน้าจอทีวี LED เพิ่มด้วยการรองรับ HDR,ระบบเสียง หรือเทคโนโลยีการเพิ่มสีสัน ที่หลากหลายกว่า 

แต่ถ้าคุณชื่นชอบใน LG และระบบปฏิบัติการของเขาแล้วหล่ะก็ UP7750 ก็เป็นทางเลือกที่น่าใช้เอามากๆเลย 

จุดเด่น:

  • มีหลากหลายขนาด 
  • ราคาไม่แพง 
  • มีระบบอัจฉริยะ ThinQ AI

จุดด้อย:

  • ไม่รองรับ HDR10+ และ Dolby Vision

9.TCL รุ่น J7000A/T5000A

TCLJ7000AT5000A.

ลักษณะเฉพาะของรุ่นนี้:

  • ขนาดหน้าจอ: 43 นิ้ว (และมีขนาด 50,55 และ 65 นิ้ว)
  • ประเภทหน้าจอ: LED
  • รุ่นปี: 2020
  • การรองรับ HDR: รองรับ HDR10,HDR10+,HLG 
  • ระบบปฏิบัติการ: Android TV 
  • จำนวนช่อง HDMI และ USB: 3,1 ช่อง 
  • ระยะเวลาการรับประกัน: 3 ปี

แอนดรอย์ทีวี UHD จาก TCL ที่มีเทคโนโลยี Rich Color Expansion ปรับสีทีวีโดยอัตโนมัติ เป็น TV ที่ให้ภาพสีสัน มีความสว่างและมีมิติถึงแม้จะอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างมากๆ ก็ให้ภาพได้ดี

พร้อมกับ HDR10+ รองรับคอนเท้นต์ทและปรับคุณภาพคอนเท้นต์เป็นฉากต่อฉากเสริมสร้างประสบการณ์ในการรับชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมปรับเนื้อคอนเท้นต์ความละเอียดต่ำกว่าอย่าง Full HD และ 2K ให้ใกล้เคียงกับ UHD หรือ 4K ได้

มีระบบเสียง Dolby Audio ควบคู่กับระบบ Crystal Clarity ให้บทสนทนาที่คมชัดและรายละเอียดชัดเจน

พร้อมแพตฟอร์ม TCL AI-IN ที่สามารถสั่งงานผ่านเสียงได้อย่างง่ายๆ และเปิดใช้งาน Google Home เชื่อมต่อและควบคุมจากระยะไกลได้ในตัว

จุดเด่น:

  • มีระบบเสียง Dolby Audio
  • รองรับ HDR10+ 
  • อัพสเกลคอนเท้นต์
  • มี Smart AI 
  • มี Chromcast ในตัว 

จุดด้อย:

  • ไม่รองรับ Dolby Vision 

เลือกทีวียังไงให้ไม่เสียใจภายหลัง?

1.เช็คขนาดทีวีที่ต้องการ 

หลายๆคนที่กำลังตัดสินใจซื้อทีวีดีๆสักเครื่อง มักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า TV กี่นิ้วดี? ที่ควรซื้อมาใช้ที่บ้าน 

เพราะในท้องตลาดมีทีวีหลายแบบหลายขนาดเต็มไปหมด เกรงว่าถ้าซื้อทีวีจอเล็กเกินไปจะทำให้มองเห็นดีเทลไม่ชัดหรือขนาดใหญ่เกินไปก็กลัวจะปวดตา

ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มันส่งผลลบต่อประสบการณ์ในการใช้ทีวีนั่นเองค่ะ จะเห็นได้ว่าขนาดทีวีก็เป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องพิรณาเป็นอย่างมาก 

ขนาดทีวียิ่งใหญ่ยิ่งดี จริงหรือเปล่า? 

ทีวีที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้นก็จะทำให้เราดูหนัง เล่นเกม ได้สะใจกว่าจอเล็กๆแน่นอนอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าราคาก็จะสูงขึ้นด้วย สำหรับ ทีวี UHD นั้นส่วนใหญ่ก็จะซื้อจอใหญ่ๆไปเลย 

ดังนั้นเมื่ออยากซื้อทีวีไว้ใช้ในห้องนั่งเล่น เลือกซื้อทีวียิ่งใหญ่ ก็ยิ่งดีนะ โดยขนาดที่แนะนำสำหรับห้องนั่งเล่นคือจอ 55-65 นิ้ว ถ้าใช้ห้องนอนหรือห้องขนาดเล็กซื้อเล็กลงมาก็ได้แล้ว

ทีวีกี่นิ้วดี? 

เรามีวิธีสังเกตุง่ายๆคือให้ดูระยะห่างจากจุดที่เราต้องการติดตั้งทีวี 4K ไปจนถึงจุดนั่งชมทีวีโดยประมาณเพื่อเป็นส่วนช่วยในการตัดสินใจ

  • ระยะห่าง 2.7-4 ฟุต เลือกทีวีจอ 32 นิ้ว 
  • ระยะห่าง 3.5-5.3 ฟุต เลือกทีวีจอ 43 นิ้ว 
  • ระยะห่าง 4.5-6.8 ฟุต เลือกทีวีจอ 55 นิ้ว 
  • ระยะห่าง 5.4-8.1ฟุต เลือกทีวีจอ 65 นิ้ว 

ท้ายสุดกลับมาถามตัวเองว่า ต้องการทีวี 4K ขนาดไหนมากที่สุด แล้วพิจรณาว่ามีระยะจุดวางทีวีกับจุดนั่งชมว่าพอใจหรือไม่หรือจะลองทดลองตามร้านค้าก็ได้ถ้าต้องการเพิ่มความมั่นใจ

ส่วนเรื่องของจอโค้งหรือแบนดี จุดนี้ต่างแค่รูปร่างเท่านั้นเพื่อเพิ่มความอลังการตกแต่งบ้านให้ดูหรูหราตามความชอบส่วนบุคคล ชอบแบบไหนถูกใจแบบไหนก็ซื้อโลดด

2.ดูเทคโนโลยีหน้าจอทีวี

ทีวีจอแบนไม่ได้ต่างกันแค่ขนาด หน้าจอทีวีก็มีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน 

แยกออกเป็น 3 แบบหลักๆ ก็จะมีจอ LED OLED และ QLED 

จอ LED

ทีวี LED ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากทีวีหน้าจอ LCD ดังนั้นมันจึงมีโครงสร้างที่เหมือนกันต่างกันเพียงแหล่งกำเนิดแสง(Blacklight) ที่ช่วยให้เกิดความสว่างแก่ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ

ส่วนที่แตกต่างกันคือตัวหลอดไฟที่ใช้ โดยในทีวี LED ใช้หลอดไฟที่มีชื่อว่า Light-emitting diode หรือหลอด LED แต่ในจอ LCD ใช้หลอด Cold cathode fluorescent lamps หรือหลอด CCFL

ในหลอด LED จะให้ภาพที่มีความสว่างมากขึ้น คมชัดกว่า ให้สีสันที่สดใส แถมยังบาง เบา และประหยัดพลังงานได้มากกว่า 

ด้วยเหตุนี้ทำให้หน้าจอ LED มีราคาสูงกว่าหน้าจอ LCD  อยู่ระดับหนึ่งเลยค่ะ 

จุดเด่น:

  • สามารถพบได้ในทีวีขนาด 32 นิ้วซึ่งในทีวีประเภทอื่นจะไม่ค่อยทำทีวีขนาดนี้ออกมาแล้ว
  • ให้คุณภาพของภาพดีระดับหนึ่ง
  • ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับจอ QLED และ OLED 

จุดด้อย:

  • ให้มุมมองการรับภาพไม่ดี

จอ OLED

ย่อมาจาก Organic Light Emitting Diode เป็นทีวีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่แตกต่างจาก QLED 

หลักการทำงานของมันคือจุดพิกเซลแต่ละจุดบนหน้าจอทีวีเป็นหลอด LED ทำงานแยกอิสระต่อกัน ดังนั้นจึงไม่มี blacklight เหมือนในจอ LED และ QLED 

จอ OLED ให้ภาพที่มีระดับความดำที่มืดสนิท ให้ภาพคมชัดและมีสีสันสดมากกว่าหน้าจอประเภทอื่นๆ จึงเหมาะกับสายดูหนังหรือเล่นเกมโดยเฉพาะ แถมยังประหยัดพลังงาน ตัวทีวีมีขนาดบางและน้ำหนักเบา 

แต่ต้องทำใจนิดนึงเพราะเขามีราคาแพงและมีเฉพาะในทีวีจอใหญ่ๆ โดยยี่ห้อที่เรามักพบทีวีประเภทนี้หลักๆเลยจะมี LG Sony และ Panasonic ค่ะ 

จุดเด่น:

  • คุณภาพของภาพดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา 
  • ระดับความดำของภาพดีที่สุด 
  • ให้มุมมองการรับภาพที่กว้างแม้ว่าจะมองจากด้านข้างก็ยังเห็น

จุดด้อย:

  • มีราคาแพง 
  • มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าแบบ QLED เพราะอาจเกิดจอไหม้หากใช้งานนานๆ (หลายผู้ใช้ไม่ได้พบปัญหานี้)

จอ QLED

ทีวี QLED นั้นถูกอัพเกรดขึ้นมาจากทีวี LED ความพิเศษของมันจะอยู่ที่การนำเทคโนโลยี Quantum dot เข้ามาใช้กับหน้าจอทีวี (ย้ำว่าไม่ได้เป็นเทคโนโลยีใหม่แต่อย่างใด) ทำให้ชื่อเรียกทีวี QLED นั้นย่อมาจาก Quantum-Dot Light-Emitting Diode นั่นเอง

ลักษณะเป็นแผ่นฟิลม์เลเยอร์อีกชั้นนึง เพื่อที่ไปพัฒนาความสว่างและสีสันของทีวีให้คมชัดและให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ให้มุมมองการรับชมได้ดีโดยเฉพาะมุมตรง

ทีวี QLED จะเจอได้ในยี่ห้อซัมซุง นั่นก็เพราะว่า Sumsung ได้ครอบครองลิขสิทธิ์ Quantum dot อยู่ นอกจากนั้นยังพบได้ในยี่ห้อ Hisense และ TCL เช่นกัน โดยจะพบได้ในทีวีที่มีขนาด 42 นิ้วขึ้นไป 

นับว่าเป็นประเภททีวีที่มีราคาหลากหลายระดับและไม่แพงมากเหมือน OLED อีกทั้งยังให้ภาพความคมชัด สีสันสดใสดูเป็นธรรมชาติมากกว่า 

จุดเด่น:

  • ให้ภาพคมชัด สีสันสดใสเป็นธรรรมชาติ
  • เป็นจอที่ให้ความสว่างมากที่สุด 
  • รองรับมุมมองการรับชมได้ดีกว่า LED 
  • ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับจอ OLED

จุดด้อย:

  • มุมมองการรับชมได้น้อยกว่า OLED

สรุป: 

  • LCD/LED: เหมาะกับผู้ที่ต้องการมองหาทีวีหลากหลายขนาดในราคาที่ไม่แพง 
  • OLED: เหมาะกับผู้ที่ต้องการทีวีที่ให้ความละเอียด เห็นดีเทลและมีสีสันชัดเจน เหมาะกับการชมภาพยนต์หรือเล่นเกม และสามารถควบคุมแสงสว่างของห้องได้
  • QLED: เหมาะกับผู้ที่ต้องการทีวีที่มีความคมชัด สีสันสดใสเป็นธรรมชาติ และราคาไม่แพงมากเหมือน OLED บ้านไหนที่มีห้องนั่งเล่นที่แสงว่างจากภายนอกเข้าถึงเยอะๆ QLED เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

3.มีเทคโนโลยี HDR 

HDR ย่อมาจากคำว่า High Dynamic Range ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มตัว Contrast เก็บดีเทลรายละเอียดทั้งในฉากมืดและสว่าง มีสีชัดเจน ช่วยให้ภาพดูมีมิติสมจริง ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น 

ดังนั้นถ้าหากต้องการทีวีที่ให้คุณภาพของภาพไปอีกขั้นก็อย่าลืมเลือกทีวีที่มี HDR ซึ่งมันจะรองรับเฉพาะคอนเท้นท์ที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับ HDR โดยเฉพาะ อย่างเช่นในหนังหรือซีรีย์จาก Netflix

อย่างไรก็ตามทีวีรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันมี HDR อยู่แล้วแต่ขึ้นอยู่กับความสามารถสูงสุดของตัวทีวีว่าสามารถปรับได้เยอะสุดเท่าไหน

HDR ในทีวีที่พบเห็นมีอยู่ 3 ฟอร์แมตได้แก่

  • HDR10: ถูกใช้ปรับแต่งทั้งคอนเท้น เป็นตัวมาตรฐานและไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้มีหลากหลายคอนเท้นที่รองรับ HDR10 อย่างเช่น Netfliex และวิดีโอเกมต่างๆ
  • HDR10+: อัพเกรดขึ้นมาโดยทีวีสามารถปรับเองได้เป็นฉากๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกันแต่ตัวนี้ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก 
  • Dolby Vision: เป็นฟอร์แมตที่ให้คุณภาพที่ดีที่สุดในบรรดาทั้ง 3 แบบ สามารถปรับเป็นฉากๆเหมือน HDR10+ ข้อเสียคือมีราคาแพง(ทำให้ทีวีที่รองรับ Dolby Vision มีราคาแพงมากขึ้น) แต่เป็นที่นิยมมากเพราะรองรับคอนเท้นได้เยอะเหมือนกันกับ HDR10 

4.Smart ทีวี หรือ Android ทีวี เลือกอันไหนดี? 

Smart TV

Smart TV คือ ทีวีที่รองรับอินเตอร์เน็ตทั้ง LAN และ Wifi (ไม่จำเป็นต้องต่อกับกล่องรับสัญญาณ) และมีฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลาย ที่เด่นๆคือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นตามที่ความจำที่จำกัดของทีวี

สมาร์ททีวีในแต่ละยี่ห้อมีระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น Sumsung เป็นสมาร์ททีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการ TizenOS ในขณะที่ LG ใช้ WebOS

จุดเด่น:

  • User-friendly ติดตั้งและใช้งานง่ายกว่า

จุดด้อย:

  • มีแอปพลิเคชั่นที่รองรับน้อยกว่า Android TV (มีเฉพาะตัวที่นิยม เช่น Facebook, Youtube หรือ Netflix)
  • มีการอัปเดทระบบนานๆครั้ง ทำให้ดูล่าช้ากว่า Android TV มากๆ 

Android TV

Android TV คือสมาร์ททีวีรูปแบบหนึ่ง มีฟีเจอร์เหมือนกันแต่จะมีแอปพลิเคชั่นรองรับที่หลากหลายกว่า

สามารถเชื่อมต่อกับ Google play แล้วเข้าไปดาวน์โหลดแอปที่ต้องการเหมือนใช้ในมือถือเลย 

อีกทั้งยังรองรับการใช้งานกับคีย์บอร์ดหรือเม้าส์เชื่อมต่อเข้ากับทีวีได้โดยไม่ต้องต่อสาย (ใช้Wifi) รีโมทของทีวีประเภทนี้สามารถสั่งงานด้วยเสียง Google Assistant 

จุดเด่น:

  • รองรับแอปพิเคชั่นได้มากกว่า 
  • มีการอัปเดทระบบตลอด
  • ดาวน์โหลดผลิตภัณฑ์ของ Google ได้ผ่านแอปเลย 

จุดด้อย:

  • ค่อนข้างซับซ้อนจึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่คุ้นกับระบบของ Android 

5.ลำโพงทีวี 

ด้วยทีวีรุ่นใหม่ๆ ถูกดีไซน์ให้มีความบางลงทำให้ตัวลำโพงถูกบีบให้เล็กลงตาม ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่นะ โดยเฉพาะทีวีบางรุ่นมีบซาวด์บาร์ที่รองรับ Dolby Vision ซึ่งเป็นระบบเสียงที่ใช้ในโรงภาพยนต์

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ยังไม่พอใจเสียงออดิโอของทีวี อยากพัฒนาตัวลำโพงให้ดีขึ้นกว่าเดิมเราแนะนำมองหาซาวด์บาร์หรือโฮมเตียร์เตอร์ดีๆสักตัวใช้คู่กับทีวีก็ดีค่ะ